ผู้ใหญ่สัมฤทธิ์ พงศ์พรหม
นายสัมฤทธิ์ พงศ์พรหม อายุ 52 ปี หรือผู้ใหญ่หมิด อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.นาสาร 2สมัย อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ที่ตกเป็น 1 ในเป้าหมายเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกรณีถูกกล่าวหาโยงใยเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด โดยเฉพาะการส่งโทรศัพท์มือถือเข้าไปในเรือนจำ ซึ่งถูกตำรวจนำกำลังเข้าตรวจค้นเมื่อ 2 วันก่อน ให้สัมภาษณ์แถลงเมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังนำผู้สื่อข่าวเข้าไปสำรวจร่องรอยการจุดไฟเผากองขยะหลังเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ที่เป็นทางยาว 4 จุด ตลอดแนวกำแพงด้านหลังรวมพื้นที่เกือบ 1 ไร่ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดจนพัวพันมาถึงตนนั้น ขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและการขว้างปาโทรศัพท์เข้าไปในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชเลย และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือตำรวจอย่างเต็มที่ มองว่าข้อมูลของตำรวจที่มีอยู่ในขณะนี้ยังเป็นแค่ข้อมูลพื้นฐานส่วนน้อย แค่น้ำจิ้มยังไม่ลึกจนถึงตัวการใหญ่จริง ๆ
“อยากให้ พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ส่งคนที่ไว้วางใจได้สักคนสองคนเข้าไปฝังตัวในพื้นที่ เพื่อสืบสวนหาข่าวที่แท้จริง ว่าบุคคลในเครือข่ายของจริงนั้นเป็นใครบ้าง ยืนยันว่าบุคคลเป้าหมายในมือของตำรวจทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำ และบุคคลภายนอกเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกเหมารวมไปด้วยหลายคนรวมทั้งผมด้วย ในขณะที่คนที่เกี่ยวข้องจริง ๆ ยังลอยนวลอยู่ จึงขอให้ท่านผู้การ และผู้ว่านครศรีธรรมราช พิจารณาจากสภาพข้อเท็จจริงในพื้นที่ให้ดี ๆ เพราะพื้นที่ดังกล่าวที่อ้างว่ามีเจ้าหน้าที่คอยลาดตระเวนตรวจตราอย่างต่อเนื่อง หากเป็นบุคคลภายนอกจริง ๆ จะเข้าไปขว้างปาโทรศัพท์เข้าไปในเรือนจำได้ยากมาก”
ที่ผมโดนไปด้วยคงเป็นเพราะความขัดแย้งในการเมืองท้องถิ่น ที่แบ่งแยกออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย และเกรงว่าจะขยับจาก ส.อบต.ไปส่งสมัคร ส.อบจ.ที่จะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ฝ่ายการเมืองตรงข้ามจึงร่วมกันทำลายทุกวิถีทาง ทั้ง ๆ ที่กลุ่มคนเหล่านี้ต่างก็เป็นตัวการที่มีผลประโยชน์อยู่กับขบวนการค้ายาเสพติดในเรือนจำ มีทั้งนักการเมือง ผู้นำท้องถิ่น ฝ่ายปกครองและตำรวจบางคนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งนั้น ขอให้ไปสอบถามชาวบ้านทั้ง ต.นาสาร ได้เลยชาวบ้านเขารู้กันเป็นอย่างดีว่าใครเป็นใคร ใครบ้างที่ร่วมอยู่ในขบวนการค้ายาและขว้างปาโทรศัพท์เข้าไปในเรือนจำ
มีครั้งหนึ่งตำรวจนายหนึ่งของ สภ.พระพรหม นำโทรศัพท์มือถือ 10 เครื่อง มาให้ผม บอกว่าให้ช่วยส่งเข้าไปในเรือนจำให้หน่อย แต่ปฏิเสธและยืนยันว่า แม้จะรู้จักกับเจ้าหน้าที่หลายคน แต่ไม่เคยทำในเรื่องอย่างนี้ ตำรวจคนดังกล่าวจึงนำโทรศัพท์ทั้งหมดกลับไป
ด้านหลังกำแพงเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช
“มีผู้คุมอยู่จำนวนหนึ่งที่กลุ่มค้ายาเสพติดพยายามจะชักชวนชักนำให้เข้าร่วมขบวนการ แต่เขาปฏิเสธไม่ยอมเข้าร่วมกลุ่มด้วย โดยเฉพาะในคืนหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีผู้นำท้องถิ่น ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จำนวนหนึ่งนัดพบกันใต้แทงค์น้ำประปาของเรือนจำ และมีการจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่เรือนจำ 3 แสนบาทเพื่อให้นำโทรศัพท์หลายสิบเครื่องเข้าไปในเรือนจำ”
ขบวนการทั้งหมดหากไม่มีเจ้าหน้าที่ภายใน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องภายนอกบางกลุ่มบางคน เข้าไปมีส่วนรู้เห็นเป็นใจและรับผลประโยชน์ รับรองได้เลยว่ายาเสพติดโทรศัพท์มือถือ และสิ่งของต้องห้ามเล็ดลอดเข้าไปในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชได้ยากมาก แค่เรื่องรถเก็บขยะของ อบต.นาสาร ที่เข้าไปเก็บขยะจากในเรือนจำ ในตอนกลางคืนรถจอดอยู่ที่ อบต.นาสาร โดยไม่มีคนเฝ้า ขบวนการค้ายาเสพติดนำโทรศัพท์ครั้งละไม่น้อยกว่า 50 เครื่อง ไปซ่อนไว้ในรถเก็บขยะ เมื่อถึงเวลาที่คนขับและคนเก็บขยะนำรถเข้าไปเก็บขยะในเรือนจำก็ไม่รู้ว่ามีการแอบซ่อนโทรศัพท์มือถือไว้ในรถเก็บขยะแล้วก็ขับรถเข้าไปเก็บขยะ ซึ่งการตรวจตรารถเก็บขยะเข้าเรือนจำก็ตรวจแบบขอไปที โทรศัพท์มือถือจึงหลุดเข้าไปในเรือนจำครั้งละมากๆได้อย่างสบาย
“ ที่สำคัญการนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปในเรือนจำไม่ว่าจะเป็นการขว้างปาข้ามกำแพง หรือเข้าทางประตูหน้า ส่วนใหญ่ไม่ใช่ครั้งละ 3-4 เครื่อง แต่ครั้งละหลายสิบเครื่อง เหตุผลเพราะในแต่ละครั้งต้องจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่บางกลุ่มบางคน 3-5 แสนบาท หากนำเข้าแค่ 3-4 เครื่องไม่คุ้ม ผมพร้อมที่จะเข้าพบ พล.ต.ต.รณพงษ์ เพื่อชี้แจงให้ข้อมูลทั้งหมด”ผู้ใหญ่สัมฤทธิ์ระบุ