จากรายงานการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศ พบว่า ประชาชนที่อยู่ใกล้เสาสัญญาณโทรศัพท์ ในรัศมี 400 เมตร มีความเสียงค่อนข้างสูงที่จะเกิดอาการปกติ เช่น เวียนหัว คลื่นไส้ ความจำเสื่อม นอนไม่หลับ ชักกระตุก หากเด็กที่ได้รับคลื่นมือถือเกินขนาด มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวถึง 2 เท่าตัว นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อสุขภาพอื่นๆ และเกิดอาการสำคัญๆ เช่น เนื้องอกในสมอง เนื้องอกในเส้นประสาทหู และทำให้ผู้ชายเป็นหมัน ผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งเป็นคลื่นที่รับได้จากโทรศัพท์มือถือ เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ เสาส่งไฟฟ้าแรงสูงและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจในหลายประเทศและถือเป็นเรื่องอันตรายระดับสากล บางประเทศได้ออกกฎ ให้ตั้งเสาออกห่างจากชุมชนหรือลดความถี่ของสัญญาณส่งลงจนไม่มีอันตรายกับคนที่อยู่ใกล้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (ตั้งแต่ 0 Hz ถึง 300 GHz) สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์หากรับ คลื่นแรงเกินควรเป็นเวลานานเกินไป จึงเป็นที่มาของการกำหนดเกณฑ์ปลอดภัยหรือขีดจำกัด การแผ่ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในย่านความถี่ต่างๆ ในประเทศไทย ตามประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่องหลักเกณฑ์และมาตรการกำกับดูแลความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์จากการใช้เครื่องวิทยุคมนาคม ข้อ ๑๒.๕ จะระบุว่า เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่จะติดตั้งและบริเวณใกล้เคียง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและป้องกันความวิตกกังวลของประชาชนที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในกรณีบริเวณที่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ที่มีความเสี่ยงจากการได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น สถานพยาบาล โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก ทั้งนี้ คณะกรรมการอาจร้องขอให้มีการแสดงหลักฐานการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ในกรณีที่จำเป็น แต่ที่ผ่านมากลับพบว่าการติดตั้งเสาสัญญาณมือถือได้กระทำขึ้นโดยขาดการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนได้มีขีดจำกัดคลื่นความถี่ต่ำๆที่รับว่าไม่เป็นภัยต่อมนุษย์ ได้แก่ ความแรงสนามแม่เหล็กไม่เกินประมาณ 2 mG ในขณะที่อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยทั่วไปในบ้านเรือนของเราเป็นแหล่งแพร่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในระดับต่างๆ (ณ บริเวณตัวเครื่อง) คือ
-โทรศัพท์ไร้สาย (Cordless Phone) ประมาณ 28 mG
-โทรศัพท์มือถือ (Mobile Phone) ประมาณ 43 mG
- เครื่องรับโทรทัศน์/เครื่องคอมพิวเตอร์ ประมาณ 56 mG
- เครื่องเป่าผม ประมาณ 1,000 mG
- เตาไมโครเวฟ ประมาณ 2,000 mG
ฉะนั้นประชาชนและผู้บริโภคจึงควรรับทราบ และไม่ควรอยู่ใกล้หรือใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ โดยไม่จำเป็น การใช้โทรศัพท์มือถือก็เหมือนการสูบบุหรี่ “ยิ่งสูบมากยิ่งมีสิทธิ์เป็นมะเร็งสูง” ยิ่งเป็นเด็กหากได้รับมากๆ ยิ่งอันตราย เสาโทรศัพท์ เสาไฟแรงสูง หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนที่มี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น ทีวี ไมโครเวฟ ก็เป็นภัยมือสอง คนที่อยู่ใกล้มีโอกาสเกิดผลกระทบด้านร่างกายและจิตใจสูงในเด็กอาจจะมีอาการมึนหัว อาเจียน ไม่สบายบ่อยครั้ง เด็กได้รับคลื่นแม่เหล็กเกินขนาด (4 mG) และเป็นเวลานานๆ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) ถึงสองเท่าตัว เด็กกลุ่มที่เกิดจากมารดาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับสายไฟฟ้าแรงสูงภายในระยะห่างไม่เกิน 200 เมตร มีอัตราเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวสูงถึงร้อยละ 70 เทียบกับกลุ่มที่มารดา อยู่ห่างจากสายไฟฟ้าแรงสูงเกินกว่า 600 เมตรขึ้นไป สำหรับผลกระทบต่อสุขภาพจาก คลื่นโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือมือถือ มีการศึกษาวิจัยพบว่าประชากรที่อยู่ใกล้เสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือในรัศมี 400 เมตร พบว่ามีอาการผิดปกติต่างๆ เช่น ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ฉุนเฉียวง่าย ซึมเศร้า สูญเสียความทรงจำ คลื่นไส้และมีปัญหาในการมองเห็น นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุดภายใต้และตรงกันข้ามกับบริเวณเสาส่งสัญญาณที่ตั้งบนอาคารชุด หรืออาคารพาณิชย์ ก็มีอาการทำนองเดียวกันอีกจำนวนมาก
ในประเทศอังกฤษได้ทำการถอนย้ายเสาโทรศัพท์ออกจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง หลังพบปัญหาสุขภาวะของประชาชนโดยเฉพาะโรคมะเร็งและปศุสัตว์แย่ลง ปรากฏว่าสุขภาพของประชาชนดีขึ้น ในประเทศอิสราเอล เกิดการจลาจลและเผาเสาโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากพบว่ามีผู้ป่วยเป็นมะเร็งกว่า 200 คน และประเทศไต้หวันก็มีการทำลายเสาโทรศัพท์อีกว่า 900 เสาในปี 2548 ซึ่งนี่ไม่ใช่หนทางแห่งการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ส่วนในประเทศอิตาลีและสวิตเซอร์แลนด์ได้ตรากฎหมายจำกัดความแรงที่คลื่น 900 และ 1800 MHz ที่ระดับไม่เกิน 6 V/m และในหลายประเทศกำลังมีการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ ส่วนในขณะที่ประเทศไทยเสาโทรศัพท์มือถือกำลังแพร่ขยายไปยังหมู่บ้านและชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว โดยยังไม่มีการควบคุมที่ชัดเจนและชุมชนให้ความสนใจเรื่องการติดตั้งเสาส่งสัญญาณเป็นสิทธิของชุมชน ความต้องการในการใช้โทรศัพท์เป็นปัจจัยสำคัญที่เราจะตัดสินใจว่า เราจะนำเสาไปลงที่ไหน เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นชุมชน จะมีปัญหาเรื่องของผลกระทบด้านสภาพแวดล้อม ด้านชุมชน เช่น อันตรายจากคลื่น จากฟ้าผ่า เพราะฉะนั้นบทบาทของชุมชน นโยบายสาธารณะชุมชนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของปัญหาการติดตั้งเสา อย่างไรก็ตาม ตัวเสาสัญญาณโทรศัพท์นั้นยังไม่อยู่ใกล้คนทั่วไปเท่ากับตัวโทรศัพท์มือถือที่ติดตัวของทุกคน ซึ่งนับว่ามีอันตรายและเสี่ยงต่อสุขภาพผู้ใช้โดยตรงทั้งในระยะสั้น คือ ความร้อนในบริเวณหู หากใช้เป็นเวลานาน บางคนใช้เพียง 3 นาที จะรู้สึกคลื่นไส้ ปวดศีรษะ ตาพร่าและในระยะยาว ก็หนีไม่พ้นเรื่องมะเร็ง
ข้อปฏิบัติเหล่านี้คงจะช่วยให้ผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือและผู้ที่อยู่ใกล้เสาสัญญาณโทรคมนาคม ลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นต่างๆได้
1.อย่าใช้โทรศัพท์บ่อยถ้าไม่จำเป็น
2.บ้านใครที่มีเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ หรือ เสาส่งแรงสูงประเภทต่างๆอยู่ใกล้ให้ปลูกต้นไม้สูงๆ เพื่อบังคลื่นผ่าน
3.โทรศัพท์บ้านควรใช้แบบเสียบสายมากกว่าไร้สาย เพราะจะได้รับคลื่นแรงกว่า
4. ไม่ควรโทรศัพท์โดยการแนบหูเป็นเวลานาน ไม่ควรใช้บลูทูธ ควรใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรีที่มีสาย
5.หลีกเลียงการใช้โทรศัพท์มือถือในบริเวณที่มีคลื่นสัญญาณต่ำ เช่น ใกล้เสาส่งสัญญาณวิทยุ เสาไฟฟ้าแรงสูง อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น
6.อันตรายอย่างยิ่งหากมีพายุ ฝนฟ้าคะนอง อย่าใช้มือถือหรือโทรศัพท์บ้านเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เป็นสื่อสายล่อฟ้าได้ง่าย
ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว ผู้ที่อยู่ใกล้เสาสัญญาณโทรคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรที่จะปฏิบัติตามข้อแนะนำดังนี้
1.สร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับชาวบ้าน คนในชุมชน ถึงอันตรายจากคลื่นที่มาจากเสาส่งสัญญาณ
2.ผลักดันให้เกิดการลดขนาดของเสาส่งสัญญาณที่มีอยู่ในเมืองหรือ ชุมชนในขณะนี้
3.เมื่อเข้าใจถึงภัยจากคลื่นแล้ว ใช้พลังชุมชนเพื่อผลักดันกฎหมายป้องกัน เช่น ควรตั้งให้ห่างจากชุมชนไม่น้อยกว่า 400 – 600 เมตร ในชุมชน สถานพยาบาล โรงเรียน
ในประเทศไทยบางหมู่บ้านภูมิใจที่มีเสาโทรศัพท์มือถือไปตั้งกลางชุมชน ซึ่งเรื่องนี้ก็ห้ามใครคิดไม่ได้ เพราะเขาต้องการ “คลื่นแรง-สัญญาณชัด” ส่วนอนาคตจะเป็นมะเร็งตามมา ซึ่งในปัจจุบันสังคมไทยกำลังเข้าสู่ยุค 3จี จะมีการตั้งเสาเพิ่มขึ้นอีก แนวโน้มเทคโนโลยีไร้สายเติบโต เพราะการเข้าถึงง่ายและพกพาเคลื่อนที่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการควรปล่อยคลื่นเท่าที่จำเป็น และผู้บริโภคควรใช้เท่าที่จำเป็น โดยเฉพาะเด็กต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าผลกระทบต่อสุขภาพของคลื่นสัญญาณอาจยังไม่ได้รับการยืนยันชัดเจนทางวิชาการในขณะนี้ เนื่องจากข้อมูลยังไม่เพียงพอ ต้องใช้เวลาศึกษาวิจัยอีกนานหลายปี เช่นเดียวกับปัญหาบุหรี่ในอดีต ปัญหาพืชตัดต่อพันธุกรรมและภาวะโลกร้อน แต่การเฝ้ารอผลพิสูจน์ที่แท้จริงตามหลักวิทยาศาสตร์อาจสายเกินไปสำหรับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าทุกคนหันกลับมาร่วมกันเฝ้าระวังผลกระทบเหล่านี้น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด