ไล่ออก นศ.พยาบาลติดเอดส์ :""" :""" :""" :"""
กรณีที่นักศึกษาพยาบาลจำนวน 3 คน ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อขอความเป็นธรรม
กรณีที่ถูกมหาวิทยาลัยต้นสังกัดไล่ออก ขณะกำลังศึกษาวิชาชีพพยาบาลในชั้นปีที่ 3 หลังจากพบว่านักศึกษากลุ่มดังกล่าว
ติดเชื้อ HIV
ล่าสุด รักษาการรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยต้นสังกัดของ 3 นักศึกษาพยาบาลดังกล่าว แจงว่า โดยระเบียบการแล้ว
การตรวจโรคของนักศึกษาถือเป็นมาตรฐานของทางมหาวิทยาลัยทุกมหาวิทยาลัย
ทางต้นสังกัดต้องตรวจโรคของนักศึกษาพยาบาลตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 อยู่แล้ว และไม่พบปัญหาใด ๆ แต่เมื่อขึ้นชั้นปีที่ 3
นักศึกษาทุกคนก็ต้องออกไปฝึกงาน และต้องสัมผัสกับผู้ป่วยจริง เพราะฉะนั้นทางมหาวิทยาลัยจึงจำเป็นที่จะต้องตรวจโรคซ้ำอีกครั้ง
จากการเรียกนักศึกษาทั้ง 3 คน ที่ติดเชื้อเอชไอวีมาพูดคุยอย่างลับ ๆ ตนก็แนะนำว่าให้ย้ายไปเรียนภาควิชาอื่น เนื่องจากนักศึกษา
ต้องออกไปฝึกงานและสัมผัสผู้ป่วยขณะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งหากไม่ย้ายไปเรียนสาขาอื่น ก็ต้องถูกพักการเรียน
และทางมหาวิทยาลัยก็ยินดีคืนเงินค่าเทอมให้ในชั้นปีที่ 3 และนักศึกษาทั้ง 3 ราย ก็ได้รับค่าเทอมคืนไปแล้ว แต่สุดท้ายตนก็เพิ่งทราบว่า
กลุ่มนักศึกษาดังกล่าวได้เดินทางไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ตนขอยืนยันว่าตนไม่ได้ตัดสิทธิ์นักศึกษา แต่ปกป้องสิทธิ์ให้กับผู้ป่วยมากกว่า เพราะหากปล่อยให้นักศึกษาที่มีโรคที่คนทั่วโลกหวาดกลัวออก
ไปสัมผัสกับผู้ป่วย แล้วเกิดปัญหาขึ้นภายหลังจะเสียหายมากมายอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ เสียหายทั้งสถานพยาบาล เสียหายทั้งสถาบัน เสียหายทั้ง
มหาวิทยาลัย
กรณีดังกล่าว ความเป็นจริงแล้วทางมหาวิทยาลัยต้องการปกป้องนักศึกษาทั้ง 3 ราย ซึ่งการตรวจโรคนั้น ทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ตรวจเอง
แต่ตรวจโดยสถานพยาบาลที่สามารถรับรองผลได้ หากตัวนักศึกษาไม่มั่นใจ ก็สามารถทำการตรวจได้อีกครั้ง และขอใบรับรองการตรวจได้ด้วย
ประธานอนุกรรมการคุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ คณะกรรมการเอดส์แห่งชาติ เผยเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า การบังคับให้ตรวจเลือดของทางสถาบันถือว่า
เป็นการขัดกับหลักการเคารพสิทธิผู้ติดเชื้อเอชไอวี และก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากเมื่อตรวจพบเชื้อเอชไอวี อาจทำให้บุคคลดังกล่าว
ถูกจำกัดสิทธิ หรือถูกกีดกันในการเข้าเรียนหรือเข้าทำงานได้
ฉะนั้นการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะเลือกตรวจหรือไม่ตรวจก็ได้ หากผู้ตรวจสมัครใจตรวจด้วยตัวเองจะต้อง
มีความพร้อมด้านจิตใจ และผู้ให้การตรวจจะต้องมีบริการให้คำปรึกษาด้วย
ผลตรวจจะต้องรู้เฉพาะผู้ตรวจและผู้รับการตรวจเท่านั้น ไม่ควรส่งต่อไปยังบุคคลที่ 3 หรือผู้บริหารสถานศึกษา หรือนายจ้าง
หากผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์นั้น ส่วนใหญ่จะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงไปอีกหลายสิบปี สำหรับการบังคับตรวจเลือดดังกล่าว
ทำให้นักศึกษาไม่มีทางเลือก ตนจึงเห็นว่าควรมีการรณรงค์ให้ประเทศไทยลดการเลือกปฏิบัติ เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ทางมหาวิทยาลัยมีท่าทีรับฟังคำชี้แจงของทางคณะกรรมการเอดส์แห่งชาติ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขอปรึกษาหารืออีกทีว่าจะเปลี่ยนนโยบายตรวจเลือด
เพื่อหาเชื้อเอชไอวีหรือไม่อย่างไร
ทางคณะกรรมการจะทำการรณรงค์สร้างความเข้าใจกับผู้บริหารสถานศึกษา และสถานประกอบการในเรื่องดังกล่าวต่อไปในอนาคต เพื่อไม่ให้
เกิดการละเมิดสิทธิผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ที่มา :
http://www.talkystory.com/?p=41573